
ระหว่างวันที่ 7-8 พฤศจิกายน 63 ที่ หน้าศูนย์การค้า เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช ชายหาดพัทยา เมืองพัทยาได้มีการเปิดงาน “เพลินศิลป์ อร่อยฟิน ริมหาด” โดยในวันเปิดงานวันแรก นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เป็นประธานเปิดงาน นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ปลัดเมืองพัทยา ที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม นายมานะ ยาประคำ ประธานสภาวัฒนธรรมเมืองพัทยา กลุ่มศิลปินอิสระ ชุมชน แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน เข้าร่วมงานฯ
การจัดกิจกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังผ่านวิกฤตโควิด19 ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สร้างรายใด้ให้แก่ท้องถิ่น และคนในชุมชน ส่งเสริมด้านศิลปะวัฒนธรรม และวัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่น ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ 7, 8, 14,15 พฤศจิกายน 63 รวม 4 วัน บริเวณด้านหน้า ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เฟสติวัล บีช โดยงานเริ่มตั้งเเต่เวลา 10:00 น.-18:00 น.ภายในงาาน มีการออกบู๊ทร้านอาหารจากชุมชน กิจกรรมวาดภาพเหมือน จากกลุ่มศิลปินอิสระ การแสดงดนตรีไทย โดยบรรยากาศในงาน พบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาจับจ่ายใช้สอย กันเป็นจำนวนมาก โดยภายในงานจากที่ผู้สื่อข่าวลงสำรวจร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ของรัฐบาล ปรากฏว่ามีประชาชนตื่นตัว เข้าร่วมโครงการและมาใช้สิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก ร้านค้าที่ลงทะเบียนโครงการดังกล่าว ขายดีกว่าร้านที่ไม่ร่วมโครงการ อย่างเห็นได้ชัด

ทางด้าน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินโครงการคนละครึ่งเป็นอย่างมาก ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งประชาชนและร้านค้า สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชน เงินสะพัดในชุมชน เจ้าของร้านค้า หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้น และการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชันก็สะดวก โดยความคืบหน้าล่าสุด ข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 5.23 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 7.1 ล้านคน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 7,629 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 3,888 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 3,741 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 216 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับอย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกังวลก็คือ การฉวยโอกาสจากโครงการฯ เช่น การคิดราคาสินค้าที่สูงขึ้นหรือการทำธุรกรรมที่ไม่มีการซื้อขายจริง รัฐบาลจึงขอความร่วมมือจากประชาชนและร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ อย่าให้มีการดำเนินการไปในทางมิชอบ.