นทท.ไทย-ต่างชาติ ร่วมชิมช้อปคนละครึ่ง พักผ่อนริมชายหาด ในงาน “เพลินศิลป์ อร่อยฟิน ริมหาด”พัทยา

0
158

ระหว่างวันที่ 7-8  พฤศจิกายน 63   ที่ หน้าศูนย์การค้า เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา​ บีช ชายหาดพัทยา​ เมืองพัทยาได้มีการเปิดงาน ​ “เพลินศิลป์ อร่อยฟิน ริมหาด” โดยในวันเปิดงานวันแรก นายสนธยา​ คุณปลื้ม​ นายกเมืองพัทยา​ เป็นประธานเปิดงาน  นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม​ พร้อมด้วย  นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา​ ปลัดเมืองพัทยา ที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว​และวัฒนธรรม นายมานะ ยาประคำ ประธานสภาวัฒนธรรมเมืองพัทยา​ กลุ่มศิลปินอิสระ​ ชุมชน​ แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน เข้าร่วมงานฯ


การจัดกิจกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังผ่านวิกฤตโควิด19 ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สร้างรายใด้ให้แก่ท้องถิ่น และคนในชุมชน ส่งเสริมด้านศิลปะวัฒนธรรม และวัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่น ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่​ 7, 8, 14,15​ พฤศจิกายน 63​ รวม​ 4 วัน บริเวณด้านหน้า ศูนย์การค้า เซ็นทรัล​ เฟสติวัล​ บีช โดยงานเริ่มตั้งเเต่เวลา​ 10:00​ น.-18:00​ น.​ภายในงาาน มีการออกบู๊ทร้านอาหารจากชุมชน กิจกรรมวาดภาพเหมือน จากกลุ่มศิลปินอิสระ การแสดงดนตรีไทย​ โดยบรรยากาศในงาน พบว่า​มีนักท่องเที่ยว​ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาจับจ่ายใช้สอย กันเป็นจำนวนมาก  โดยภายในงานจากที่ผู้สื่อข่าวลงสำรวจร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ของรัฐบาล ปรากฏว่ามีประชาชนตื่นตัว เข้าร่วมโครงการและมาใช้สิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก ร้านค้าที่ลงทะเบียนโครงการดังกล่าว ขายดีกว่าร้านที่ไม่ร่วมโครงการ อย่างเห็นได้ชัด

ทางด้าน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินโครงการคนละครึ่งเป็นอย่างมาก ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งประชาชนและร้านค้า สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชน เงินสะพัดในชุมชน เจ้าของร้านค้า หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้น และการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชันก็สะดวก โดยความคืบหน้าล่าสุด ข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 5.23 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 7.1 ล้านคน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 7,629 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 3,888 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 3,741 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 216 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับอย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกังวลก็คือ การฉวยโอกาสจากโครงการฯ เช่น การคิดราคาสินค้าที่สูงขึ้นหรือการทำธุรกรรมที่ไม่มีการซื้อขายจริง รัฐบาลจึงขอความร่วมมือจากประชาชนและร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ อย่าให้มีการดำเนินการไปในทางมิชอบ.